Friday, February 11, 2011

โหงวเฮ้งดี การงานรุ่ง

การดูโหงวเฮ้งเป็นศาสตร์จีนโบราณ ที่ใช้ในการพิจารณาดูใบหน้า เพื่อวิเคราะห์ถึงบุคลิกและลักษณะนิสัยลึก ๆ ของแต่ละคน โดยการอ่านจากลักษณะห้าประการ ได้แก่ คิ้ว หู ตา จมูก ปาก และอริยาบถต่าง ๆ ทั้งการพูด การฟังน้ำเสียง ไปจนถึงการดูราศี มีหลายธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่งในการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานในบริษัทตน และในปัจจุบันเริ่มเป็นศาสตร์ที่ใช้กันระดับสากลมากขึ้นทั้งในบริษัทไทยและเทศ
ผู้ที่กำลังหางานส่วนใหญ่จึงมักเป็นกังวลกับโหงวเฮ้งของตน เนื่องจากเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่เหมือนกับการแต่งกาย ที่สามารถตระเตรียมได้ก่อนไปสัมภาษณ์งาน แต่หารู้ไม่ว่าจริง ๆ แล้วโหงวเฮ้งของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้ทุก ๆ สิบปี เนื่องจากโหงวเฮ้งเป็นสิ่งสะท้อนสิ่งที่อยู่ภายในตัวเรา หากเราเป็นคนคิดดี ทำดี โหงวเฮ้งเราก็จะดีตามไปด้วย หากไม่สั่งสมบุญไว้ต่อไปก็สามารถเปลี่ยนไปทางที่แย่ลงได้ ซึ่งจะคล้าย ๆ กับหลักธรรมะของไทยเราที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เช่น หากสมัครงานใหม่แล้วอยากทราบว่าจะได้งานหรือไม่นั้น สีสันบนหน้าผากสามารถบอกได้ หรือเรียกอีกอย่างว่า ราศี ถ้าหน้าผากมีประกายเป็นสีชมพูอมเหลืองแสดงว่าราศีดี หากคิดทำสิ่งใดก็จะประสบความสำเร็จ ซึ่งราศีที่ดีเกิดจากการดูแลสุขภาพพร้อมกับการมีคุณธรรม จริยธรรมที่ดีด้วย เป็นต้น
จากในเว็บไซต์โหงวเฮ้งโดยอาจารย์รุ่งนภาได้อธิบายไว้ว่า การอ่านโหงวเฮ้งควรดูเฉพาะในช่วงอายุขณะนั้น ซึ่งหลัก ๆ แล้วจะอ่านจาก
ดวงตา ถือเป็นหน้าต่างของหัวใจ เพราะสามารถแสดงถึงความรู้สึกอารมณ์ ความกระตือรือร้น และลักษณะนิสัยการดำเนินชีวิตของคน ๆ นั้นได้ เช่น

- ดวงตาที่ยิ้ม แววตาแจ่มใส ไม่ซึม ปรือ เหมือนคนง่วงนอน จะเป็นคนที่มีความกระตือรือร้นและประสบความสำเร็จทั้งในความรักและการงาน เป็นต้น
- ตาดำและตาขาวจะต้องแบ่งชัดเจน มองเห็นสีขาวได้เพียงสองด้าน เพราะหากเห็นมากกว่าสองด้านจะจัดว่าเป็นคนที่มีจิตใจเหี้ยมโหด ถึงขนาดสามารถฆ่าคนได้
- ตาดำควรนิ่งและมีพลัง ตาขาวต้องขาวสะอาดไร้ตำหนิ หากตาขาวเป็นสีเหลือง หรือแดงก่ำ มีเส้นเลือดแดงพาดผ่านหรือมัว แปลว่าชะตาชีวิตกำลังพบเจอมรสุม อุปสรรค มักไม่ได้สิ่งที่ต้องการ
วิธีแก้ไข : ฝึกทำสมาธิ ระงับจิตใจไม่ให้โมโหโกรธง่าย รู้จักลืม ผ่อนคลาย อย่าเก็บสิ่งที่ไม่ดีไว้ในใจ
ผู้หญิงที่มีวาสนาดี มีการงานดี จะต้องประกอบด้วยลักษณ์ที่ดี ดังนี้

1. ผิว หมายถึงการเงิน ผิวพรรณเป็นประกายสดใส ไม่ว่าจะขาวหรือคล้ำหากมีเลือดฝาดที่บ่งบอกว่าสุขภาพดีโดยไม่ผ่านการตกแต่งด้วยเครื่องสำอาง จะเป็นคนที่มีเงินไม่ขาดมือ ดังนั้นต้องรู้จักดูแลผิวพรรณ รักษาสุขภาพจิตให้ดี ไม่นอนดึก หมั่นยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ
2. คิ้ว
- คิ้วที่มีความสมดุลกับดวงตายาวถึงหางตา จะเป็นคนรักญาติมิตรพี่น้อง มักคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันเสมอ
- ขนคิ้วที่เรียงกันเป็นแนวนอนอย่างเป็นระเบียบ ไร้ตำหนิจากแผลเป็นหรือขาดแหว่ง เจ้าตัวเป็นนักวางแผนที่ดี ทำงานเป็นระบบ และมีเสน่ห์มักได้รับความนิยมชมชอบจากคนรอบข้าง
3. ปลายคาง จะต้องมีลักษณะกลมมน อวบอิ่มได้รูปไม่สั้นหรือแหลมจนเกินไป เนื่องจากหากคางแหลมจะได้บริวารที่ไม่จริงใจ และจะว้าเหว่ในบั้นปลายชีวิต
4. น้ำเสียง ผู้หญิงควรจะมีน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟังไม่ชวนทะเลาะหรือมีเสียงห้าว เพราะถึงจะดูเป็นผู้หญิงแกร่งเข้มแข็ง แต่ในเรื่องของความรักอาจประสบปัญหาได้
ผู้ชายที่มีวาสนาดี การงานรุ่งเรืองนั้น จะต้องประกอบด้วยลักษณ์ที่ดี 3 ประการ คือ

1. หน้าผาก แสดงถึงสติปัญญา
- หน้าผากที่กว้างอิ่มเต็มเท่ากับหนึ่งฝ่ามือของตัวเอง เป็นลักษณะของผู้ที่มีสติปัญญาดี
- หน้าผากมีความเกลี้ยงเกลา สดใส ไร้ตำหนิจากแผลแตก แผลเป็นหรือรอยยุบ แสดงว่าเป็นผู้สามารถพลิกแพลงแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดีเยี่ยม ชอบศึกษาหาความรู้ ตำแหน่งอาชีพการงานพบกับความราบรื่นผู้ใหญ่ให้การช่วยเหลืออุปถัมภ์
2. ปาก ที่มีความกว้างมุมปากตรงกับตาดำเรียกว่าปากกิน 4 ทิศ เป็นผู้ที่พูดจาหนักแน่น น่าเชื่อถือ พูดแล้วไม่คืนคำและจะต้องทำให้ได้ มีผู้คอยให้ความช่วยเหลืออุปถัมภ์เสมอ หากใครที่ไม่มีคุณลักษณะดังกล่าวสามารถฝึกได้ด้วยการหัดเป็นคนพูดจาภาษาดอกไม้
3. น้ำเสียง ผู้ชายจะต้องมีน้ำเสียงดัง ก้อง กังวาน สดใส ฟังได้ศัพท์ ไม่ใช่พูดในลำคอหรือพูดเสียงเบาเหมือนกระซิบสิ่งนี้จะแสดงถึงการไม่มีอำนาจหรือถูกลิดรอนอำนาจ
ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วยังมีอีกหลายองค์ประกอบที่จะส่งผลให้ประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งศาสตร์ที่นำมาให้อ่านนี้เป็นเพียงเกร็ด
ความรู้เสริม เพื่อให้ผู้ที่กำลังหางานไม่กังวลในเรื่องนี้มากจนเกินไป เนื่องจากเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล ชีวิตเราจะเป็นอย่างไรตัวเราเองเป็นผู้กำหนด หากเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรในหน้าที่การงานที่ทำ คิดดี และประพฤติดีอยู่เสมอแล้ว เชื่อว่าผลลัพธ์ที่ออกมาย่อมดีกว่าผู้ที่คิดและทำแต่สิ่งไม่ดีแน่นอน เพราะสิ่งที่ทำในวันนี้ย่อมส่งผลถึงอนาคตเราเองด้วยค่ะ
ที่มาจาก www.JOB.COM

Wednesday, February 9, 2011

เทคนิคการเพิ่ม fan ใน Facebook

โดยสถิติล่าสุดคนไทยเล่นเฟซบุ๊คทั้งหมด 6.9 ล้านคน และเติบโตสูงเป็นอันดับ 21 ของโลก จนได้แซงไฮไฟว์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การทำการตลาดบนเฟซบุ๊ค แฟนเพจให้ประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดดนั้น ก่อนอื่นเลย ต้องเข้าใจความหมายของโซเชียล เน็ตเวิร์ค หรือ "เครือข่ายสังคม" ซะก่อน
ถ้ายกตัวอย่างง่าย ๆ เฟซบุ๊ค ก็คือ บ้านของคุณ และคุณคงไม่ชอบใจแน่ถ้าอยู่ดี ๆ มีเพื่อนบ้านมาเคาะประตูที่บ้านของคุณ เพื่อเชิญชวนให้คุณมาซื้อสินค้าทุกวัน แต่กลับกัน ถ้าเปลี่ยนจากการเคาะประตูเพื่อเชิญชวนให้ซื้อสินค้า มาเป็นถามสารทุกข์สุกดิบ มีของมาฝากบ้างเวลาไปเที่ยวกลับมา สุดท้ายเมื่อคุณเริ่มสนิทกับเพื่อนบ้านของคุณแล้ว เวลาเพื่อนบ้านคุณมาขายของ กับคุณ คุณก็จะเต็มใจรับฟังและสุดท้ายอาจจะเป็นสินค้าที่คุณต้องซื้อมาใช้เป็นประจำ ก็เป็นไปได้
ปีที่ผ่านมา แบรนด์ต่าง ๆ มากมายทั้งไทย และต่างประเทศเข้ามาทำการตลาดผ่านทางเฟซบุ๊คกันอย่างคึกคัก บ้างก็ประสบความสำเร็จ บ้างก็ล้มเหลว หลังจากที่ผมได้คลุกคลี กับการทำการตลาดบนเฟซบุ๊ค แฟนเพจมาพอสมควร ผมคิดว่าปัจจัยของการประสบความสำเร็จในการทำการตลาดบนเฟซบุ๊ค แฟนเพจช่วงแรก เช่น จำนวนแฟนที่เพิ่มขึ้นต่อวัน จำนวนคนที่มามีส่วนร่วมกับแบรนด์ มากน้อยแค่ไหน ทำได้ไม่ยากอย่างที่คุณคิด และวันนี้ผมนำเคล็ด (ไม่) ลับนี้มาบอก โดยบทความนี้ผมจะพูดถึงภาพรวมและเป็นเทคนิคที่ใครก็สามารถทำได้ง่าย ๆ !
1.เนื้อหา (Content) ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง!
เนื้อหาของข้อมูล (Content) ที่เราจะสื่อสารหรือส่งข้อความไปถึงคนที่อยู่ในเฟซบุ๊ค หรือโซเชียล เน็ตเวิร์ค นั้น ข้อความที่ส่งออกไปควรที่จะเป็นข้อความที่มีความรู้สึกถึง "ความเป็นธรรมชาติ" "ความจริงใจ" และ "ใส่ใจ" ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการจะขายสินค้าในแฟนเพจของคุณ คุณควรจะใส่ความเป็นธรรมชาติลงไป และเข้าใจถึงกลุ่มคนที่คุณจะสื่อสารด้วย
คอนเทนท์ที่ดีควรจะมีการบอกต่อให้มากที่สุด สิ่งที่ทรงพลังที่สุดของโซเชียล เน็ตเวิร์ค คือ "การแบ่งปัน" (Share) หรือ "การบอกต่อ" (Viral) ถ้าคุณทำให้คอนเทนท์ของคุณมีการ แบ่งปัน และบอกต่อ มากเท่าไรจำนวนแฟนของคุณจะเพิ่มแบบรวดเร็วเช่นกัน เทคนิคในการสร้างคอนเทนท์ให้เกิดการบอกต่อมาก ๆ นั้นเนื้อหาคอนเทนท์จะต้องกระตุ้นให้คนเกิดการ บอกต่อ มากที่สุด เช่น ตลกที่สุด เศร้าที่สุด แปลกใหม่ที่สุด ตื่นตาที่สุด ประทับใจที่สุด
ตัวอย่าง เช่น คลิปปาบีบีของอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมีการ Share สู่วงกว้างกว่า 1 ล้านวิว ซึ่งสุดท้ายก็เป็นการสร้างคอนเทนท์จากแบรนด์ ๆ หนึ่ง การพูดของ "อ๊อฟ พงษ์พัฒน์" ที่เวทีนาฏราช ที่วันเดียวมีการบอกต่อให้เข้ามาดูถึง 6 แสนวิวภายใน 1 วัน
และล่าสุด การร้องเพลงผ่านยูทูบของกลุ่มนักร้อง Room 39 ที่มีคนเข้ามาชมรวมกว่า 5 ล้านวิว จะเห็นได้ว่าการสร้างคอนเทนท์ที่มีคุณภาพ หรือการสร้างคอนเทนท์เข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ เพียงแค่ 1-2 คอนเทนท์ก็สามารถทำให้แบรนด์ของคุณโด่งดังข้ามปีกันได้ง่าย ๆ!
1.Suggest A Friends
ใช้วิธีการ "แนะนำเพื่อน หรือบอกเพื่อน ๆ" ในเครือข่ายสังคมของเราให้รู้ว่าตอนนี้เรา (แบรนด์) เปิดเฟซบุ๊ค แฟนเพจแล้วนะ โดยผมจะแบ่งออกเป็น 2 หัวข้อ ได้แก่ การแนะนำเพื่อนบนโลกไม่ออนไลน์ (Suggest A Offline Friends) วิธีนี้ก็บ้านๆ เลยครับคุณมีเพื่อนบนโลกออฟไลน์กี่คนที่คุณสนิมหรือคิดว่าเพื่อนคุณคนนี้ แอ็คทีฟทางโซเชียล เน็ตเวิร์คมากๆ ก็ทำการแนะนำเพื่อนคุณว่าตอนนี้คุณกำลังเปิดแฟนเพจ และเชิญชวนให้เพื่อนคุณมา Like พร้อมทั้งอาจจะมี Benefit เช่น ส่วนลดพิเศษสำหรับช่วงเวลาพิเศษ หรือมีเซอร์ไพรส์ กิฟท์ สำหรับคนที่เข้ามา Like Fanpage ลำดับที่ xxx

แนะนำเพื่อนบนโลกออนไลน์ (Suggest A Online Friends) บนโลกออนไลน์ วิธีนี้เป็นเทคนิคที่หลายคนจะ "มองข้าม" กัน วิธีง่าย ๆ เลยครับเพียงแค่คุณคลิกคำว่า "Suggest A Friends" หรือแนะนำเพื่อนของคุณ บนเมนูด้านซ้ายมือของหน้าเฟซบุ๊ค แฟนเพจของคุณ หลังจากนั้น คุณก็ทำการเลือกเพื่อนที่คุณคิดว่าเพื่อนคนนี้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่คุณ ต้องการ เมื่อคุณเลือกเสร็จคุณสามารถ ใส่ข้อความสั้น ๆ เพื่อบอกเหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้องส่ง Invite ไปหาเพื่อนของคุณ

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ถ้าคุณมีเพื่อนใน เฟซบุ๊คทั้ง หมด 1,000 คน เมื่อคุณสร้างแฟนเพจใหม่ขึ้นมา คุณสามารถเชิญชวนเพื่อนมา Like Fanpage ทั้ง 1,000 คนได้โดยใช้เวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น! และถ้าเพื่อนของคุณเข้ามาในแฟนเพจคุณแล้วเจอคอนเทนท์ที่ดี และมีคุณภาพเข้าไปอีก จากการเป็นเพื่อนธรรมดาบนโลกออนไลน์ อาจจะเปลี่ยนสถานะมาเป็นแฟนพันธุ์แฟนของเฟซบุ๊ค แฟนเพจของคุณไปเลยทันที ก็ได้ !

ในเบื้องต้นนี้ควรให้ความสำคัญของ "การเข้าใจคำว่า โซเชียล เน็ตเวิร์คให้ดีซะก่อน" ก่อนที่คุณจะเข้ามาสู่โลกนี้ และเมื่อคุณเข้ามาแล้วคุณควรที่จะเข้าใจพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้พร้อมทั้งคุณ ต้องพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งกับคนกลุ่มนี้ให้ได้มากที่สุด และวิธีที่ง่ายที่สุด ก็คือ การสื่อสารออกไปว่าให้เขารับรู้ว่าเราเป็นเพื่อนคุณนะ และเมื่อเป็นเพื่อนกันแล้ว อะไรก็จะง่ายไปอย่างถนัดตา
ที่มา : bangkokbiznews.com

Monday, February 7, 2011

การค้าขายออนไลน์ของเมืองไทย

ปี 2011 เป็นปีที่การค้าขายออนไลน์ของเมืองไทย กำลังจะเริ่มต้นทะยานขึ้นอย่างมากโดยจะเห็นได้ว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาทำให้วงการอีคอมเมิร์ซไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยพฤติกรรมของคนออนไลน์เปลี่ยนไป กล้าซื้อของออนไลน์เพิ่มมากขึ้น รวมถึงสินค้าและบริการต่าง ๆ ของธุรกิจ เริ่มเดินหน้าเข้าสู่ตลาดการค้าออนไลน์ ระบบชำระเงินออนไลน์ของไทย ที่พัฒนาความสามารถมากขึ้น โดยคนสามารถซื้อของและจ่ายเงินออนไลน์ได้ง่าย ๆ เพียงแค่กดไม่กี่ทีก็จ่ายเงินได้แล้ว ดังนั้นเรามาดูกันว่าแนวโน้มของปี 2011 จะมีอะไรน่าสนใจ ที่คุณสามารถเติบโตไปกับช่องทางนี้ได้
แนวโน้มการค้าออนไลน์ปี 2011

จากตัวเลขผลสำรวจของ เนคเทค ปี 2010 พบคนไทยนิยมช้อปออนไลน์ 57.2% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างมาก ทำให้เห็นว่าตอนนี้ คนไทยกล้าซื้อของออนไลน์มากขึ้น และจำนวนผู้ประกอบการและธุรกิจ ก็เริ่มมีการนำสินค้าใหม่ ๆ เข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น ซึ่งในปี 2011 จะมีปัจจัยอะไรที่จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้การค้าบนโลกออนไลน์ของไทยเติบโตมากยิ่งขึ้น
1. ระบบชำระเงินออนไลน์ที่พัฒนามากขึ้น
ระบบการชำระเงินออนไลน์ที่มีอยู่ในไทยตอนนี้มีมากหลายรูปแบบ เช่น ผ่านบัตรเครดิต ตอนนี้ก็มีหลายธนาคารรองรับ, ชำระผ่านระบบอีแบงกิ้งที่เกือบทุกธนาคารมี, ตัวกลางกลางชำระเงินอย่าง Paysbuy, PayPal และ TARADpay หรือ ชำระเงินผ่านมือถืออย่าง mPay, True Money จะได้ว่าตอนนี้เอง เมืองไทยมีความพร้อมการชำระเงินออนไลน์อย่างมาก จะทำให้การค้าขายผ่านออนไลน์เป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้นสำหรับธุรกิจที่อยากเข้ามาเปิดตลาดใหม่
2. เว็บไซต์จะสามารถสร้างได้ง่ายมาก ๆ
ตอนนี้ธุรกิจผู้ให้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูป เริ่มมีมากมายทั้งรายเล็กรายใหญ่ รวมถึงระบบซอฟต์แวร์ที่เป็นลักษณะระบบเปิด (OpenSource) ที่มีเปิดให้ดาวน์โหลดกันมากมาย ทำให้การสร้างเว็บไซต์ สำหรับธุรกิจเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ๆ เพียงไม่กี่คลิก ก็สามารถมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองได้แล้ว ดังนั้นแนวโน้มปีนี้จะเห็นความหลากหลายของผู้ให้บริการเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้น จนเกิดการแข่งขันทางด้านราคา นี้คือโอกาสดีของผู้ประกอบการที่อยากจะมีเว็บไซต์ของตนเอง หรือมีธุรกิจบนโลกออนไลน์ จะสามารถทำและสร้างเว็บตัวเองได้ง่ายมากขึ้น
3. โปรโมชั่นสินค้าลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลในโลกออนไลน์
เมื่อก่อนร้านค้าออนไลน์และเว็บไซต์ขายของต่าง ๆ ในเมืองไทย ต่างขายของกันโดยไม่มีการลดราคาสินค้า แต่พบว่ายอดขายไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่หลังจากที่ TARAD.com ร่วมมือกับทางญี่ปุ่น มีการนำเทคนิคการค้าออนไลน์ รวมถึงโปรโมชั่นแคมเปญลดราคาต่าง ๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการค้าออนไลน์อย่างมาก โดยหลาย ๆ เว็บไซต์ที่ค้าขายออนไลน์ต่าง เริ่มจัดแคมเปญลดราคา เพื่อกระตุ้นยอดขายตาม ซึ่งทำให้เกิดยอดขายและผู้ซื้อเริ่มสนุกที่จะซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้นจากเมื่อก่อน
4. ร่วมกันซื้อแล้วลด (Group Buying) การค้าผ่านโซเชียลคอมเมิร์ซ
การเข้ามาของโมเดล "ร่วมกันซื้อ" แบบเดียวกับ Groupon ทำให้เกิดนำส่วนลดราคาบริการต่าง ๆ ออกมาขายกันอย่างมาก ซึ่งเว็บ "ร่วมกันซื้อ" จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้คนกล้าซื้อสินค้าผ่านเว็บเหล่านั้น เพราะด้วยการลดราคาเป็นจำนวนมาก และต้องซื้อร่วมกันหลาย ๆ คน ทำให้เกิดการบอกต่อผ่าน โซเชียลเน็ตเวิร์ค ไปอย่างรวดเร็ว เว็บรูปแบบนี้ในไทยเริ่มต้นจากผู้ให้บริการอย่าง Ensogo และตามมาด้วย Dealdidi และเจ้าอื่น ๆ อีกมากมายมากกว่า 20 เว็บไซต์แล้วในตอนนี้ ยิ่งเกิดเว็บอย่างนี้มากเท่าไร ก็จะยิ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นคนให้ซื้อออนไลน์มากขึ้นตาม
5. การเข้าสู่โลกออนไลน์ของห้างออฟไลน์
ปลายปีทีแล้ว เป็นช่วงที่บรรดาห้างใหญ่หลาย ๆ แห่งต่างเริ่มยกพาเหรดเข้ามาเปิดธุรกิจในโลกออนไลน์ อย่างเช่นยักษ์ใหญ่อย่างเซนทรัล และเดอะมอลล์ต่างก็เริ่มเข้ามาสร้างห้างออนไลน์กันแล้ว นอกจากนี้ บรรดาห้างไฮเปอร์มาร์ทอย่าง ท็อปส์ หรือ บิ๊กซี ก็เริ่มเปิดให้คนเข้ามาช้อปและจับจ่ายทางออนไลน์ได้แล้วเช่นกัน
ประเด็นสำคัญ ๆ ของแนวโน้นการค้าขายออนไลน์ของไทยปีนี้ เห็นได้ชัดเลยครับว่า ปี 2011 นี้จะเป็นปีที่ประเทศไทยมีความพร้อมกับการค้าขายออนไลน์อย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ๆ ดังนั้น หากคนที่มีธุรกิจ และยังไม่ได้เข้ามาสู่การค้าขายออนไลน์ ปีนี้ดูจะเป็นที่เหมาะสมและควรนำธุรกิจคุณเข้าสู่โลกออกไลน์ได้แล้วครับ เพราะองค์ประกอบทุกอย่างพร้อมมาก หากคุณยิ่งช้าไป โอกาสการแข่งขัน ของธุรกิจคุณในโลกออนไลน์จะยิ่งต่ำลง เพราะในธุรกิจการค้าในโลกออนไลน์ไม่ได้มีแค่คู่แข่งในประเทศเท่านั้น คุณกำลังอาจจะต้องเจอกับคู่แข่งต่างประเทศที่เริ่มยกพลมาขายในเมืองไทยผ่านเว็บไซต์กันมากขึ้น ดังนั้นลงมือเริ่มตั้งแต่วันนี้ คือคำแนะนำที่คุณควรทำ

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์